กำลัง (ลุ่ม)หลง(ใน)รัก อยู่รึเปล่า?
บนโลกใบนี้มีความรักแฝงอยู่ในทุกสิ่ง ซ่อนอยู่ในหัวใจคนทุกคน รอแค่เวลาที่ใช่เมื่อเจอใครที่โดนใจ รักก็พร้อมจะเบ่งบานได้เดี๋ยวนั้น ถ้าคนรู้ทันก็จะรอดไป แต่ถ้ารู้ไม่ทันแล้วปล่อยให้ “หลงทางตกหลุมพรางความรัก” ก็อาจเกิดอาการหนักถอนใจขึ้นไม่ทันเพราะเมื่อเราหลงรักใครสักคนแล้ว โลกมักจะหมุนเปลี่ยนองศาไปทันที จะทำอะไรก็มีความสุขไปหมด จากที่เคยทุกข์ระทมขมขื่นก็หวานชื่นรื่นรมย์นั่งอมยิ้มได้ทั้งวัน สามารถทำสิ่งอัศจรรย์ได้เหลือเชื่อ ทำสิ่งน่าเบื่อได้อย่างหฤหรรษ์
รสชาติแห่งการหลงรักจะหอมหวาน ยั่วยวน โดยเฉพาะเมื่อคนสองคน “ตกหลุมรัก” ซึ่งกันและกันIn Love Checklist: เช็คดูว่าคุณสองคนตกหลุมรักกันอยู่ใช่ไหม
ถ้าคุณรู้สึกว่า ใช่เลยๆ กับอาการเหล่านี้ คุณทั้งสองจะ....
· ให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์มาเป็นอันดับหนึ่งทำทุกอย่างเพื่อให้สายใยรักแน่นหนาขึ้น
· จะใส่ใจกับความต้องการของอีกฝ่ายอย่างดีเริ่ด ไม่ว่าคุณหรือเขาต้องการอะไรก็จะจัดให้ในทันที เพียงแค่เปรยว่าหิวข้าวก็สามารถมีข้าวมันไก่บินมาป้อนถึงปากได้
· จะให้เวลาและสนใจกันอย่างเต็มที่ ไม่มีคำว่า “งานยุ่ง” พุ่งออกจากปากกันเลย
· จะสัมผัสได้ถึงความรักของอีกฝ่าย แค่มองตาก็จะรู้ว่า “คิดถึง” ไม่ต้องพูดก็รู้ว่า “เป็นห่วง”
· จะพูดถึงแต่ด้านดีๆ ของการมีอนาคตร่วมกัน
· จะ “หยอด” กันไม่มีหยุด เช่น “ไม่นึกเลยว่าผมจะได้เจอผู้หญิงอย่างคุณ” หรือ “รู้มั้ยคะนานมากแล้วไม่ได้เดินจูงมือใครแบบนี้”
· จะแสดงพลังเซ็กซ์ที่ซาบซ่าใส่กันเหมือนไม่มีวันแก่
· จะแสดงออกถึงความซาบซึ้งที่มีต่อกันอย่างเปิดเผย บางทีแค่ได้ดอกไม้ช่อเล็กๆ (ย้ำ...เล็กมากๆ) ก็ดีใจจนน้ำตาแทบร่วง
· จะหัวเราะกันง่ายกว่าปกติ ต่อมอารมณ์ขันทำงานดีเป็นพิเศษ อะไรนิดหน่อยก็ขำร่วนจนชวนงง
· จะเป็นกำลังใจให้กันและกันตลอดเวลา ทำงานถึงตีห้าก็มีดอกไม้วางรออยู่หน้าบ้าน
· จะผ่านอุปสรรคที่ยากแสนยากไปได้ด้วยการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
· จะแสดงความรักหลายต่อหลายครั้งในแต่ละวัน หวานจนมดยังต้องอพยพออกไปจากบ้าน
· จะยอมรับในความแตกต่างของกันและกัน อย่างไม่มีเงื่อนไข
· จะใช้พลังจากความรักเป็นพลังในการทำงาน และทำในสิ่งต่างๆ ที่ตัวเองตั้งใจอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ
· จะช่วยกันแก้ไขความผิดพลาด และนิสัยแย่ๆ ของอีกฝ่ายด้วยความตั้งใจ
· ไม่ว่าบ้านเราสองจะไกลกันขนาดไหน เขาก็มักจะมารับ และมาส่งคุณเสมอโดยไม่บ่น
· ไม่มีปัญหาเถียงกันว่ามื้อนี้ใครจ่าย
· ซื้อของฝากให้พ่อและแม่ของอีกฝ่ายเสมอ ขนาดยังไม่เคยเจอก็ฝากแล้ว
จะเห็นได้ว่าอาการ “(ลุ่ม)หลง(ใน)รัก” มีพลังมหาศาล และแสนจะเบิกบานสำราญใจ เป็นใครก็อยากจะว่ายวนอยู่ในภวังค์จนไม่ทันยั้งคิดว่า ความสุขที่ได้เป็นความอิ่มเอมที่มีวันหมดอายุ ผู้สันทัดกรณีบอกไว้ว่า ระยะหวานชื่นนี้จะยืนยาวอยู่ประมาณ 6-7 เดือน หลังจากนั้น “ความเห่อ”จะค่อยๆ เจือจางลง บางคู่ยังคงรักษาความแหววไว้ได้ด้วยการกระทำที่เหมือนเดิม แต่ความตื่นตัวและตื่นเต้นจะน้อยลง บางคู่อาจจะเริ่มสังเกตเห็นความเฉื่อยชาและเฉยเมยที่มีมากขึ้น คำถามว่า “ทำไม” เริ่มเข้ามาอยู่ในใจ อาการสงสัยในการกระทำของอีกฝ่ายที่ไม่เคยมีมาเริ่มก่อตัว
“Love means never having to say you’re sorry.” จากหนังเรื่อง Love Story เมื่อคนสองคนตกหลุมรักกันได้ 6 เดือน
ลองเช็คดูอีกเหมือนกันว่าคุณทั้งสองมีอาการแบบนี้รึเปล่า หลังจากคบกันได้หกเดือนถ้ามีก็อย่าเพิ่งตกใจ
เพราะมันอาจเป็นสัญญาณที่ดีทำให้คุณหันมาทำความเข้าใจกับรักแท้ได้มากขึ้น
· จากที่เคยชอบอะไรเหมือนๆ กัน ตอนนี้เริ่มแปลกแยกแตกประเด็นไม่เป็นหนึ่งเดียว
· พฤติกรรมบางอย่างที่เคยน่ารัก เริ่มกลายเป็นน่ารำคาญ โดยเฉพาะอาการ “ขี้งอน” และ “ขี้หึง” ที่เมื่อก่อนก็น่าเอ็นดูแต่ตอนนี้ชักน่าเบื่อ
· อิสรภาพเริ่มติดปีก จากที่เคยยกเลิกทุกนัดเพื่อมาอยู่กันสองคน แต่ตอนนี้เริ่มสังคมจัดจนไม่มีเวลาแม้แต่จะโทรหากัน
· ไม่มีกิจกรรมหวานแหวว คุณจำไม่ได้แล้วว่าเขาหรือเธอส่งดอกไม้ให้คุณครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
· คำว่า “miss you soooooo much.” เริ่มห่างหายไปจากอีเมล์ หรือแมสเซจของเขา
· เมื่อก่อนคุณ “ให้” ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ตอนนี้ไม่อยากจะให้แล้ว เพราะเหนื่อยเหลือทน และรู้สึกว่าไม่ได้อะไรกลับคืนมาให้ชื่นใจ
· เมื่อก่อนคุณสองคนสามารถแหกขี้ตาตื่นเช้ามากินข้าด้วยกันก่อนไปทำงาน แต่ตอนนี้ขอนอนให้ถึงที่สุด ถ้าอีกคนโทรมาปลุกอาจมีเคือง
· คุณเริ่มรู้สึกว่า “เขา” หรือ “เธอ” กำลังห่างออกไป
· ความเงียบเพิ่มมากขึ้นระหว่างคุณสองคน บางครั้งต้องใช้ความพยายามในการชวนคุย
· คุณต้องการเวลา และความเป็นส่วนตัวมากขึ้น
· คุณเริ่มมองเห็นข้อเสียของอีกฝ่ายที่คุณเคยมองข้ามไปมาตลอด เช่น เขาแย่งฉันกินตลอดเวลา หรือเธอเอาแต่บ่นและขุดคุ้ยเรื่องเก่าๆ ที่คุณลืม หรือไม่ได้ให้ความสำคัญ
· และท้ายที่สุดคุณจะไม่อดทนกับนิสัยแย่ๆ ของอีกฝ่าย และจะตีความหมายในทางลบ เช่น ถ้าคุณโทรไปแล้วเขาไม่รับ และไม่โทรกลับ คุณคิด “เขาไม่เป็นห่วงฉัน ไม่แคร์ฉันเลย” หรือ ถ้าเธอโทรหาคุณแต่ไม่ได้รับสัก 30 missed calls คุณคิด “เธอคุกคามอิสรภาพฉัน และเอาแต่อารมณ์ไม่มีเหตุผล”
ที่จริงแล้วอาการทั้งหมดที่กล่าวมาไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เป็นความเป็นจริงที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้อาการหลงรักในระยะแรก และเพิ่งแสดงตัวหลังจากความหวานชื่นเริ่มคืนหาย จนหลายคนเข้าใจผิดคิดไปว่าต่างฝ่ายต่าง “หมดรัก” โดยหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วมันเป็นการหลุดพันจากความลุ่มหลงที่ลวงตา และก้าวเข้าหาความรักที่แท้จริงต่างหาก เมื่อคุณผ่านอาการ “ลุ่มหลง” และเปิดฉาก “รักแท้” ถ้าคุณเป็นคู่รักที่ไม่ได้เริ่มต้นด้วยภาพลวงของความหวานชื่นอย่างเดียว แต่คุณได้ยืนอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงอยู่ด้วย คุณก็อาจจะไม่ต้อง“เหวอ” เมื่อได้เจอกับการเปลี่ยนไปของคนใกล้ตัว แต่ถ้าไม่ใช่ ขอแนะนำให้ทำจิตใจหนักแน่น และเปิดใจยอมรับกับความตื่นเต้นที่ลดลง และคุณอาจต้องเจอกับสิ่งที่ไม่คาดหวัง ไม่อยากให้เป็นมาขึ้น เพราะถ้าคุณไม่เข้าใจความจริงอันนี้แล้ว ก็อาจทำให้ท้อแท้จนอยากจะ “เลิก” ทั้งที่จริงแล้วมันกลับเป็นโอกาสที่คุณจะได้รู้จัก “รักแท้” ก็ได้
รักแท้ คือ อะไร?
การ “หลงรัก” ใครสักคน คือ
ความรู้สึกเคลิบเคลิ้มและล่องลอยไปกับภาพอันสวยงามของคนคนนั้น แต่การ “รัก” ใครสักคน คือ
การปลดเปลือกตัวตนที่แท้จริงของเขาออกมา และไม่ว่ามันจะอัปลักษณ์ขัดใจแค่ไหน
ถ้าคุณรักเขาอย่างแท้จริง คุณจะยอมรับ และเข้าใจได้อย่างไม่มีข้อกังขา คุณปรารถนาให้เขามีความสุขโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เข้าใจว่าหลายคนกลัวจะมีรักแท้เพราะไม่กล้าเสี่ยงที่จะเปิดหัวใจให้ใครสักคนเดินเข้ามา
และกลัวว่า “เมื่อรักแล้วเขาจะไม่รักตอบ” “รักแล้วจะทำให้เราเสียใจ” “รักแล้วเราหรือเขาอาจจะเปลี่ยนไป” คนที่ยังคิดวนเวียนอยู่กับคำถามที่เข้าข้างตัวเองอยู่นี้
ก็จะถูกตอกอยู่กับหมุดแห่งความกลัวที่เห็นแก่ตัว
จนไม่สามารถทำให้คุณเดินไปถึงรักแท้ได้
3 คำที่คนมีคู่ต้องจำให้ขึ้นใจเพื่อให้ได้เจอรักแท้ คือ ยอมรับ ไว้วางใจ และไม่คาดหวัง“ยอมรับ” ในสิ่งที่เขาเป็น ไม่ว่ามันจะขัดหู ขัดตา ขัดใจ เราแค่ไหน ถ้าคิดจะ “รัก” เราก็จ้อง “รับ” ให้ได้ อย่า(แม้แต่จะ)คิดว่า “เขาจะเปลี่ยนไปตามใจฉันถ้าฉันรักเขามากพอ” เพราะนั้นหมายถึงว่าคุณจะทุ่มเทความรักให้เขาอย่างหัวทิ่มหัวตำด้วยความหลงผิดคิดว่า “คุณรักเขา” แต่จริงๆ แล้ว “คุณรักตัวเอง” มากกว่า ถ้าคุณยอมรับเขาได้ในทุกด้าน คุณจะไม่รู้สึกแย่เลยถึงแม้เขาจะไม่โทรมาตามที่นัดไว้ เพราะคุณเข้าใจว่าเขาเป็นคนที่พูดอะไรไว้แล้วจำไม่ค่อยได้ หรือเขาจะไม่หงุดหงิดถึงแม้คุณจะงอแงทุกครั้งที่ไม่ได้อะไรดั่งใจ เพราะเขารู้ว่าคุณเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง หรือ บางทีคุณก็โมโหแบบไร้เหตุผลพาลเขาจนบ้านจะแตกไปซะอย่างนั้น เขากลับไม่โมโหกลับ เพราะเข้าใจว่ามันเป็นเพราะคุณกำลังจะมีประจำเดือนก็เลยเป็นแบบนี้ เมื่อไหร่ที่คุณยอมรับอีกฝ่ายด้วยความเข้าใจ คุณจะพูดได้เต็มปากว่า “เขาก็เป็นอย่างนี้แหละ อย่าไปถือสาเลย”พร้อมกับหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี
“ไว้วางใจ” เป็นพื้นฐานของความรักที่หนักแน่น คุณต้องไว้วางใจไม่ว่าเขาหรือเธอจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร ไม่ต้องวุ่นวายใจแม้ไม่ได้อยู่ใกล้กัน แต่หลายคนกลับไม่แน่ใจว่า “เราจะไว้ใจคนรักของเราได้แค่ไหน?” ถ้ายังมีความสงสัยใจข้อนี้ เราจะไม่มีทางผ่านด่านความลังเลเข้าไปในรักแท้ได้ ความไว้วางใจไม่ได้มีความหมายแค่การปล่อยให้เขาไปวี้ดวิ้วยามราตรีกับเพื่อนชายท่ามกลางสาวโคโยตี้ หรือการที่เขาปล่อยให้คุณใส่สายเดี่ยวแต่งตัวเปรี้ยวไปปาร์ตี้กับเพื่อนสาว แต่หมายถึง ความไง้วางใจในความคิด และการตัดสินใจ ไม่ว่าเขาจะทำอะไร่นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ และคิดว่าดีที่สุดสำหรับเขา ซึ่งเราต้องวางใจ และพร้อมจะอยู่เคียงข้างเสมอ ถึงแม้การตัดสินใจครั้งนั้นจะผิดพลาดก็ตาม เมื่อเมล็ดแห่งความไว้ใจถูกหว่านลงบนความสัมพันธ์ ต้นกล้าแห่งความรักแท้จริงจะค่อยๆ เติบโตขึ้น
กุญแจดอกสุดท้ายที่จะทำให้คุณเข้าใกล้รักแท้ก็คือ “ไม่คาดหวัง” ไม่ว่าคุณจะยอมรับเขาได้ในทุกด้าน ไว้วางใจเขาสุดหัวใจ แต่อย่า(แม้แต่จะ)คาดหวังว่าเขาจะทำสิ่งเหล่านี้กลับมาให้คุณ เพราะเมื่อไหร่ที่คุณเริ่มต้นหวัง มันหมายถึงว่า คุณได้ขุดหลุม “ความผิดหวัง” ไว้ฝังตัวเอง ถ้าคุณ “รัก” เพื่อรอจะ “รับ” นั่นก็ไม่ใช่ “รักแท้” ถ้าเราตัดความหวังออกไปได้ เราจะไม่ต้องผิดหวัง และไม่ต้องเสียใจในท้ายที่สุด คนที่มีรักแท้จะไม่เหน็ดเหนื่อยในการให้ เพราะเขาไม่คาดหวัง และจะมีพลังที่จะให้อย่างไม่สิ้นสุด
ถ้าคุณมีคนรักอยู่แล้ว และอยากให้ความรักครั้งนี้เป็นรักแท้ ลองหากระจกมาส่องหัวใจตัวเองว่า คุณยอมรับ ไว้วางใจ และไม่คาดหวังในตัวของอีกฝ่ายได้หรือเปล่า ถ้าคุณทำได้ รักแท้จะอยู่ใกล้แค่เอื้อม สำหรับบางคู่ที่คนรักมีคุณสมบัติครบถ้วนทั้ง 3 ประการ แต่คุณกลับคิดว่าเขาช่างไร้ความเร้าใจจนคุณ “เบื่อ” และคุณกลับหันไปตกหลุมแห่งความลุ่มหลงที่ลวงตา อันนี้ก็จะแสดงว่าคุณไม่มีวาสนาจะมีรักแท้ไว้ในครอบครองเข้าทำนองว่า “มีรักแท้แต่(โง่เอง)ที่ดูแลไม่ได้”
“อย่าเลือกของรักด้วยกิเลส แต่เลือกด้วยโพธิ คือสติปัญญาอันเป็นอิสระ แล้วจะไม่ตกเป็นทาสของความรัก” ท่านพุทธทาสภิกขุ